นักวิชาการเตือนไทยรับมือสึนามึสังคมสูงอายุ ชี้ปี 65 ไทยเข้าสู่สังคมผู้สงวัยอย่างสมบูรณ์ มีประชากร 60 ปี มากกว่า 20 % จี้ 4 ข้อรัฐต้องทำเร่งดำเนินการควบคู่กัน ชี้มีผู้สูงอายุรายได้น้อยกว่า 5 ล้านคน –ผู้สูงมีภาวะพึ่งพิงหวั่นเข้าไม่ถึงบริการรัฐ ระบุผู้สูงอายุอ่วมผลกระทบโควิดเสี่ยงสูง-เข้าไม่ถึงแอพฯช่วยเหลือจากรบ. “ครูรัตน์”แนะผู้สูงอายุเตรียมพร้อมรับมือวัยเกษียณ เรียนรู้เทคโนโลยีใช้ชีวิตแอคทีฟเสมอ
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ส.ส.ส.) ร่วมกับ ภาคีสร้างสุข มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดเวทีสาธารณะ : ก้าวต่อไปของผู้สูงอายุไทย 12 ล้านคน ผู้สูงอายุไทยอยู่ส่วนไหนของโลก” ผ่านโปรแกรมซูม โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย ดร.ณปภัช สัจนวกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ดร.นพ.ภูษิต ประคองสาย เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนา และนายวิรัตน์ สมัครพงศ์ (ครูรัตน์) เจ้าของเพจ เกษียณแล้ว ทำไรดีวะ?
ดร.ณปภัช กล่าวว่า วันที่ 1 ต.ค.จะเป็นวันผู้สูงอายุสากล โดยในปี 2021 ซึ่งเป็นยุคโควิดมีการกำหนดธีมคือการพยายามสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงเทคโนโลยีและดิจิตัลในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญโดยเฉพาะในประเทศที่ผู้สูงอายุยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีและดิจิตัลต่างๆ ซึ่งต้องพยายามทำให้มีการเข้าถึงมากที่สุด สำหรับสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย ขอยกข้อมูลรายงานที่มูลนิธิสถาบันวิจัยพัฒนาผู้สูงอายุไทยและสถาบันวิจัยประชากรไทยและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำร่วมกัน ซึ่งสถานการณ์ทั่วโลกมีประชากรประมาณเกือบ 8,000 ล้านคน มีผู้สูงอายุประมาณ 1,000 ล้านคน หรือคิดเป็น 10 % ของประชากรทั้งหมด ในแต่ละทวีปก็แตกต่างกันไปโดยยุโรปและทวีปเอเชียก็อาจจะมีจำนวนมากที่สุด เพราะมีประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศ ในส่วนของอาเซียน 10 ประเทศ ก็ต้องบอกว่าอาเซียนของเราเป็นสังคมสูงวัยแล้ว คือมีประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ตอนนี้มี 11 % และมี 7 ประเทศเป็นสังคมสูงวัยแล้ว มีเพียง 3 ประเทศที่ยังไม่เข้าสู่สังคมสูงวัย คือ ฟิลิปปินส์ กัมพูชาและ สปป.ลาว ทั้งนี้ประเทศไทยและสิงคโปร์ถือว่าเข้มข้นที่สุด โดยสิงคโปร์เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ คือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ส่วนประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2565 ที่จะถึงนี้ พูดง่ายๆ คือเดินมา 5 คน จะต้องมีผู้สูงอายุแน่นอน
ดร.ณปภัช กล่าวต่อว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปี ก่อน 2513 เรามีประชากรสูงอายุแค่ 5 % แต่วันนี้เรากลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งความรวดเร็วในการเป็นสังคมสูงวัยของไทยมันมากกว่านั้นคือในอีก 10 ปี หรือปี 2574 เราจะกลายเป็นสังคมสูงวัยขั้นสุดหรือสังคมสูงวัยระดับสุดยอด เหมือนญี่ปุ่นคือมีประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มากถึง 28 % ของประชากรทั้งหมดซึ่งรุนแรงและรวดเร็วมาก ถ้าเทียบกับตะวันตกที่เข่าผ่านสังคมสูงวัยมาก่อนหน้าเราเขาใช้มากกว่า 100 ปี จากการเปลี่ยนจากสังคมสูงวัยมาเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ แต่ประเทศไทยถ้านับย้อนไป คือตั้งแต่ปี 2548 -2565 เราใช้เวลาเพียง 17 ปีเท่านั้น จึงเป็นเรื่องท้าทายมาก
“สาเหตุเกิดจาการที่อัตราการเกิดมีน้อยเราคุมกำเนิดได้ดี และอายุคนยืนยาวขึ้น ขณะนี้คลื่นสึนามิประชากรที่เป็นคลื่นลูกใหญ่ มีประชากรที่เกิด 2506 -2526 ในช่วง 20 ปีนั้นอัตราการเกิดของประชากรมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งคนจำนวนนี้กำลังจะกลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว คลื่นประชากรที่มีมากกว่า 1 ล้านคนในแต่ละปีกำลังพัดเข้ามาในโครงสร้างอายุประชากรไทยเป็นสาเหตุที่ทำให้การสูงวัยในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2583 หรืออีก 20 กว่าปีข้างหน้า ตัวเลขผู้สูงอายุ 12 ล้านคนในวันนี้ จะเพิ่มเป็น 21 ล้านคน และผู้สูงอายุวัยปลาย 80 ปีขึ้นไป ที่วันนี้เรามีอยู่ 1.4 ล้านคน จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้านคน เป็นความท้าทายสำคัญเพราะคนกลุ่มนี้มีโอกาสตกอยู่ในภาวะพึ่งพิงมากกว่าคนวัยอื่น ๆ”ดร.ณปภัช กล่าว
ดร.ณปภัช กล่าวว่า สำหรับความมั่นคงทางรายได้ของคนไทย สิ่งท้าทายตนคือวันนี้ เรามีคน 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพ 9.6 ล้านคน ใช้งบประมาณไป เกือบ 8 หมื่นล้านบาท 2.ผู้สูงอายุที่ได้รับบำเหน็จ 8 แสนกว่าคน ใช้งบประมาณเกือบ 3 แสนล้านบาท และ 3.กลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ จากองทุนประกันสังคม 5.9 แสนคน ใช้งบประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าแต่ละกลุ่มได้รับความมั่นคงทางด้านรายได้แตกต่างเหลื่อมล้ำกัน และเป็นความท้าทายของสังคมไทยที่ในอนาคตจะมากกว่านี้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นมีอีก 2 กลุ่มที่ตนอยากเน้นให้เห็นความสำคัญคือ เรามีผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเยอะมากเกินกว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุไทย 12 ล้านคน โดยเรามีผู้สูงอายุรายได้น้อยเกินกว่า 5 ล้านคน ที่รัฐบอกว่าเป็นคนจนจริงและได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และยังมีคนตกหล่นไป ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องนำมาออกแบบนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่กำลังมีการล้างไพ่กันอยู่ อีกส่วนหนึ่งคือกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ไม่ว่าจะติดเตียงจำนวนกว่า 4.3 หมื่นคน หรือมีภาวะสมองเสื่อม 6.51 แสนคน และคาดว่าจะมากขึ้นต่อไปในอนาคต เป็นความท้าทายสำคัญที่รัฐมีหน้าที่ต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมากกว่าที่เคย
ดร. ณปภัช กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามเราต้องมองว่าการสูงวัยของประชากร เป็นความสำเร็จ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และการแพทย์ อัตราการตายของทารกที่ลดลง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เราสร้างขึ้นมาเองและหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย โดยตนมีข้อเสนอ 4 ข้อสำหรับรองรับสังคมสูงวัยที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า คือ 1. เรามีผู้สูงอายุ 12 ล้านคน อีก 20 ปีข้างหน้ามันจะกลายเป็น 21 ล้านคน ถามว่าจะให้เขาอยู่ที่ไหนดี คำตอบที่ทั่วโลกทำมาก่อนหน้าเราคือ สร้างที่อยู่อาศัยเชิงสถาบันจำนวนมาก แต่สร้างเท่าไรก็ไม่พอ สิ่งทีเราต้องทำคือทำให้คนสามารถอยู่ในบ้านของตัวเองได้นานที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้ามีโอกาสเสียชิวิตที่บ้านตายอย่างสงบก็ควรจะทำและส่งเสริมคุณค่าแบบนี้ขึ้น ขณะเดียวกันรัฐก็มีหน้าที่ในการเติมบริการเข้าไปให้ด้วย 2. การสูงวัยต้องทำอย่างมีพลัง มีสุขภาพดี มีความมั่นคงทางการเงิน มีส่วนร่วมมีอิสระ สังคมสูงวัยของไทยต้องไปให้ถึง เมื่อใดที่เราทำให้คนยังแอคทีฟหรือมีพลังไปได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภาระของรัฐและสังคมก็จะน้อยลงตามไป 3. ผู้สูงอายุมีการเข้าถึงดิจิทัลเทคโนโลยีน้อยมาก ซึ่งเราก็ต้องพยายามส่งเสริมเรื่องนี้ และ 4. การสูงวัยที่เป็นธรรมและเท่าเทียม เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอยู่ในอุดมการณ์ของการออกแบบนโยบายที่รัฐควรจะทำวันนี้เราคุยกันถึงเรื่องเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุ เราพยายามทำให้เบี้ยยังชีพความมั่นคงทางรายได้ให้เป็นสิทธิแทนการสงเคราะห์ แต่วันนี้เราจะย้อนกลับไปเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า ต้องทบทวนว่าให้แล้วดีต่อประชาชนอย่างไร ซึ่งเป็น 4 เรื่องต้องทำพร้อมกันอย่างเร่งด่วนเพราะมันหมดเวลาแล้วจริงๆ
ดร.นพ.ภูษิต กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โควิดในขณะนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของคนทุกลุ่มวัยไม่เฉพาะผู้สูงอายุ แต่สำหรับผู้สูงอายุมีผลกระทบสำคัญคือ ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ในเรื่องของการดูแลตัวเอง การเข้าถึงบริหารสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและมีโรคเรื้อรังที่อาจมีอาการหนัก เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงมาก ทั้งนี้เราพบว่าครัวเรือนไทยเป็นครัวเรือนผู้สูงอายุจำนวนค่อนข้างมาก มีผลกระทบการดำเนินชีวิต ผลกระทบสุขภาพ ตลอดจนในเรื่องเบี้ยยังชีพ ซึ่งบางคนยังต้องทำงานอยู่ในส่วนผู้สูงอายุที่ต้องทำงานรับจ้างพอเกิดโควิด เขาก็เกิดปัญหาเรื่องของสถานประกอบการหรือภาคธุรกิจต่างๆ ที่ไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องการเข้าถึงแอพลิเคชันต่าง การเข้าถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้ขาดการเข้าร่วมในกิจกรรม หรือการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ
นพ. ภูษิต กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมสูงวัยในมุมองของแพทย์ หรือบุคลากรด้านสาธารณสุข คิดว่าโควิดจะอยู่กับเราอีกระยะหนึ่ง ผู้สูงอายุต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตและดูแลสุขภพของตัวเองมากขึ้น มีการปรับตัว ในเรื่องการใช้ดิจิตัลที่จะทำให้เราเข้าถึงการบริการของภาครัฐที่ให้กับประชาชน ผู้สูงอายุต้องปรับตัว ในอนาคตการไปโรงพยาบาลจะทำได้น้อยลงเพราะไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย การรับวัคซีนต้องเร็วที่สุดและครอบคลุมที่สุด ผู้สุงอายุต้องเตรียมความพร้อมตัวเอง และต้องมีความมั่นคงทางด้านรายได้ เป็นเรื่องที่เราต้องมีการเตรียมความพร้อมในอนาคตด้วย ทั้งนี้เรื่องโควิดถ้าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนปลอดภัยได้ เราก็จะไม่ปลอดภัย ดังนั้นเราจึงต้องมีความเป็นเอกภาพและความสามัคคีในเรื่องการดูแลความปลอดภัยของสุขภาพของคนทุกกลุ่ม
ด้านนายวิรัตน์ สมัครพงศ์ เจ้าของเพจเกษียณแล้วทำอะไรดีวะ กล่าวว่า เราต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่วัยเกษียณ ตนค้นพบว่าชีวิตที่มีความสุขจริงๆ คือใช้ศักยภาพชองตัวเองอย่างเต็มที่ 24 ชั่วโมง เราสามารถบริหารจัดการเวลาได้ทั้งการพักผ่อน และเรื่องอื่นๆ เราค้นพบตัวเองว่าความสุขคือการมีอุดมการณ์ การทำเพื่อชาติ บ้านเมืองและคนอื่น และคนที่คิดแบบตนมีเยอะ ตนพบแล้วจึงอยากชวนให้คนอื่นมาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ จึงเปิดเพจขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ และยังเป็นการหารายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย เราเกิดในยุคอนาล็อกแล้วอพยพมาดิจิทัล เหมือนไปอยู่อเมริกาแล้วพูดภาษอังกฤษไม่ชัด จึงตัดสินใจเรียน การเรียนรู้มันไม่มีข้อจำกัดแต่อยู่ที่ระบบความคิดของแต่ละคน และต้องมีความอยากมากพอในการเรียนรู้ กระบวนเรียนรู้ของคนไม่เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับมายด์เซ็ท อยู่ที่หัวและใจ เส้นชัยของแต่ละคน ระยะทาง เป้าหมาย และเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราก็ว่าตามเป้าหมายของเราและไปให้ถึงจุดนั้น
นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า ยุคนี้แม้ไม่มีโควิด รัฐก็มีปัญญาจ่ายประชาชนแค่ 600-700 บาท และยังขยายวงเงินกู้ออกไปอีกเรื่อยๆ เพราะต้องดูแลคนหนุ่มสาวที่ตกงานด้วย การหวังพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวจึงทำไม่ได้ มันต้องพึ่งตัวเอง ตนก็เลยตั้งเป้า พัฒนาขีดความสามารถในการสร้างรายได้เพิ่ม พัฒนาความัสมพันธ์กับครอบครัว และฟังยูทูปซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ทั้งนี้หากผู้สูงอายุยังต้องการทำงานสร้างรายได้ลูกหลานอย่าไปห้าม เพราะทำให้เขาเกิดความแอคทีฟดังนั้นต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม หาสิ่งที่ตัวเองรักชอบ และถนัด จะออนไลน์ออฟไลน์ก็ทำไป ไม่มีใครสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้ ไม่เกี่ยวกับอายุแต่มันอยู่ที่ระบบความคิด
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สสส.) กล่าวว่า จากสถานการณ์สังคมสูงอายุที่ประเทศไทยกำลังจะเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2565 ซึ่งจะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งภาคนโยบายในการกำหนดนโยบาย มาตรการ แนวทางที่เหมาะสมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย รวมทั้งการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุและครอบครัวในการใช้ชีวิตร่วมกัน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ประเด็นสำคัญนอกเหนือจากการสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุ เพื่อให้มีสุขภาพดี ช่วยเหลือ ดูแลตนเองได้อย่างยาวนานแล้ว ประเด็นการคุ้มครองทางสังคม โดยเฉพาะหลักประกันทางรายได้ของผู้สูงอายุยังเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงในระยะยาว เนื่องจากผู้สูงอายุยังคงมีรายจ่ายในการดำเนินชีวิต ดังนั้นจึงเป็นโจทย์สำคัญในการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐในรูปแบบการจัดสวัสดิการอย่างถ้วนหน้า การส่งเสริมการมีอาชีพหรือการทำงานอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการมีกิจกรรมทางสงคม และพัฒนาเรียนรู้ ตนเองอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่ายร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดระบบความคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ การพัฒนากิจกรรม กระบวนการเรียนรู้สำหรับวัยสูงอายุที่เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ รวมถึงการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุเข้าถึงการมีสุขภาวะ มีความสุข และเป็นพลังของสังคมอย่างต่อเนื่อง
///